วันพุธที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2555

อิศรญาณภาษิต


                                    อิศรญาณชาญกลอนอักษรสาร
เทศนาคำไทยให้เป็นทาน                                      โดยตำนานศุภอรรถสวัสดี
ความหมาย
       ๑.หม่อมเจ้าอิศรญาณผู้มีความสามารถในการแต่งกลอนเป็นเรื่องราว ได้แต่งคำไทยเป็นคำสอนให้ไว้เป็นทาน  โดยเป็นคำโบราณที่ใช้ถ้อยคำและความหมายที่ดีงาม

๒.สำหรับคนเจือจิตจริตเขลา                        ด้วยมัวเมาโมห์มากในซากผี
ต้องหาม้ามโนมัยใหญ่ยาวรี                                   สำหรับขี่เป็นม้าอาชาไนย
ความหมาย
       สำหรับคนโง่เขลาเบาปัญญา  ลุ่มหลงมัวเมาในความชั่ว  ต้องหาม้าที่ขับขี่ได้รวดเร็วดังใจได้แก่ใจที่รู้เท่าทันกิเลส  จึงจะทำให้มีความสุข

๓.ชายข้าวเปลือกหญิงข้าวสารโบราณว่า         น้ำพึ่งเรือเสือพึ่งป่าอัชฌาสัย
เราก็จิตคิดดูเล่าเขาก็ใจ                                        รักกันไว้ดีกว่าชังระวังการ
ความหมาย
       ผู้ชายกับผู้หญิงต่างกันดังข้าวเปลือกกับข้าวสาร  แต่เมื่ออยู่ในสังคมเดียวกัน  ย่อมต้องพึ่งพาอาศัยกันเป็นธรรมดา  ทุกคนต่างก็มีจิตใจ  รักกันไว้ย่อมดีกว่าเกลียดกัน
สำนวน
       น้ำพึ่งเรือเสือพึ่งป่า
หมายถึง 
น. การพึ่งพาอาศัยกัน

๔.ผู้ใดดีดีต่ออย่าก่อกิจ                               ผู้ใดผิดผ่อนพักอย่าหักหาญ
สิบดีก็ไม่ถึงกับกึ่งพาล                                           เป็นชายชาญอย่าเพ่อคาดประมาทชาย
ความหมาp
       ผู้ใดทำดีต่อเรา  เราก็ควรทำความดีต่อเขาตอบ  ผู้ใดทำไม่ดีต่อเราหรือทำไม่ถูกต้อง  ก็ไม่ควรโกรธหรือตัดรอนจนแตกหัก  ทำความดีสิบครั้งก็ไม่เท่ากับทำชั่วครึ่งครั้ง  เป็นชายนั้นไม่ควรดูถูกลูกผู้ชายด้วยกัน

๕.รักสั้นนั้นอย่าให้รู้อยู่เพียงสั้น                      รักยาวนั้นอย่าให้เยิ่นเกินกฎหมาย
มิใช่ตายแต่เขาเราก็ตาย                                         แหงนดูฟ้าอย่าให้อายแก่เทวดา
ความหมาย
       หากรักที่จะอยู่ด้วยกันสั้นๆ ก็จงทำความชั่วต่อไป  แต่ถ้าอยากให้รักอยู่ด้วยกันนานๆ ก็จงทำความดี  อย่าไปทำผิดกฎหมายหรือทำชั่ว  คนเราทุกคนล้วนต้องตาย  จึงควรเร่งทำความดีเข้าไว้  เวลาแหงนหน้าดูฟ้าจะได้ไม่อายเทวดา
สำนวน
       รักยาวให้บั่น  รักสั้นให้ต่อ
       ยาวบั่น  สั้นต่อ
หมายถึง 
ก. รักจะอยู่ด้วยกันนานๆ  ให้ตัดความคิดอาฆาตพยาบาทออกไป รักจะอยู่กันสั้นๆ  ให้คิดอาฆาพยาบาทเข้าไว้ 

๖.อย่าดูถูกบุญกรรมว่าทำน้อย                        น้ำตาลย้อยมากเมื่อไรได้หนักหนา
อย่านอนเปล่าเอากระจกยกออกมา                            ส่องดูหน้าเสียทีหนึ่งแล้วจึงนอน
ความหมาย
       อย่าดูถูกความดีหรือความชั่วว่าทำเพียงเล็กน้อย  เพราะมันจะสะสมไปเรื่อยๆ  และมากขึ้นเหมือนน้ำตาลที่หยดลงมาจากงวงตาลที่ละหยดหย่อมเพิ่มปริมาณขึ้นเรื่อยๆ  ก่อนจะนอนให้ส่องกระจกดูหน้าตนเองว่ามีสิ่งผิดปรกติหรือไม่แล้วจึงนอน  หมายถึงให้สำรวจจิตใจของตนเองอยู่เสมอ  ว่าคิดใฝ่ดีอยู่หรือเปล่า  เพื่อจะได้เตือนตนไว้ทัน 
สำนวน
       เก็บเบี้ยใต้ถุนร้าน
หมายถึง
       ก. เก็บเล็กผสมน้อย, ทำอะไรที่ประกอบด้วยส่วนเล็กส่วนน้อย  โน่นบ้างนี่บ้าง  จนสำเร็จเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมา
สำนวน
       ตักน้ำใส่กะโหลก  ชะโงกดูเงา
หมายถึง
       ก. ให้รู้จักฐานะของตนและเจียมตัว

๗.เห็นตอหลักปักขวางหนทางอยู่                        พิเคราะห์ดูควรทึ้งแล้วจึงถอน
เห็นเต็มตาแล้วอย่าอยากทำปากบอน                            ตรองเสียก่อนจึงค่อยทำกรรมทั้งมวล
ความหมาย 
       เห็นสิ่งอะไรกีดขวางทางอยู่  จงพิจารณาดูให้รอบคอบก่อนที่จะถอนหรือเก็บเพราะอาจมีสิ่งอันตรายแฝงอยู่  เมื่อเห็นการกระทำของใครที่ไม่ดีไม่ควรปากบอนเที่ยวไปบอกคนอื่น  เพราะอาจนำผลร้ายมาสู่ตนเองได้ ควรไตร่ตรองให้ดีก่อนที่จะพูดหรือทำ
สำนวน
       คบคนให้ดูหน้า  ซื้อผ้าให้ดูเนื้อ
หมายถึง
       ก. จะพิจารณาคนหรือสิ่งใดสิ่งหนึ่งให้พิจารณาอย่างละเอียดรอบคอบ
สำนวน
       กินข้าวต้มกระโจมกลาง
หมายถึง
       ก. ทำอะไรด้วยความร้อนใจไม่พิจารณาให้รอบคอบ  มักเป็นผลเสียแก่ตน
สำนวน
       ขุนนางใช่พ่อแม่  หินแง่ใช่ตายาย
หมายถึง
       ถ้าไม่ใช่ พ่อ แม่ ปู่ ย่า ตา ยายของตน  ก็ไม่ควรไว้วางใจใคร, ทำนองเดียวกับภาษิตที่ว่า  อย่าไว้ใจทาง  อย่าวางใจคน  จะจนใจเอง
สำนวน
       ฝนตกอย่าเชื่อดาว  มีเมียสาวอย่าเชื่อแม่ยาย
หมายถึง
       อย่าไว้วางใจใครหรืออะไรจนเกินไป
สำนวน
       พูดไปสองไพเบี้ย  นิ่งเสียตำลึงทอง
หมายถึง
       ก. พูดไปไม่มีประโยชน์  นิ่งเสียดีกว่า

๘.ค่อยดำเนินตามไต่ผู้ไปหน้า                            ใจความว่าผู้มีคุณอย่าหุนหวน
เอาหลังตากแดดเป็นนิจคิดคำนวณ                               รู้ถี่ถ้วนจึงสบายเมื่อปลายมือ
ความหมาย
        จงปฏิบัติตามผู้ใหญ่ที่เกิดมาก่อนเรา  เพราะย่อมมีความรู้และประสบการณ์มากกว่าเรา  และอย่าเป็นคนอกตัญญู  ให้ก้มหน้าขยันทำงานหนัก  แล้วจะสบายในภายหลัง
สำนวน
       หลังสู้ฟ้า  หน้าสู้ดิน
หมายถึง
       ว. ที่ต้องตรากตรำทำงานหนัก  มักหมายถึงชาวไร่ชาวนา  ซึ่งในเวลาทำไร่ทำนา  หลังต้องสู้กับแดด  และหน้าต้องก้มลงดิน
สำนวน
       ใฝ่ร้อนจะนอนเย็น  ใฝ่เย็นจะดิ้นตาย
หมายถึง
       ก. มุ่งหวังจะสบายต้องทำงาน  ถ้าเกียจคร้านจะลำบากยากจน
สำนวน
       อดเปรี้ยวไว้กินหวาน
หมายถึง
       ก. อดใจไว้ก่อนเพราะหวังสิ่งที่ดีกว่าข้างหน้า

๙.เพชรอย่างดีมีค่าราคายิ่ง                               ส่งให้ลิงจะรู้ค่าราคาหรือ
ต่อผู้ดีมีปัญญาจึงหารือ                                             ให้เขาลือเสียว่าชายนี้ขายเพชร
ความหมาย
       เพชรที่มีค่ามาก  ถ้านำไปให้ลิงลิงก็คงไม่รู้ค่า  ย่อมไร้ประโยชน์ ควรปรึกษาหารือกับผู้มีปัญญาหรือนักปราชญ์  ให้คนร่ำลือว่าตนมีปัญญาราวกับมีเพชรมากพอที่จะอวดได้
สำนวน
       วานรได้แก้ว
       ลิงได้แก้ว     
หมายถึง
       น. ผู้ไม่รู้คุณค่าของสิ่งมีค่าที่ได้มาหรือมีอยู่
สำนวน
       ยื่นแก้วให้วานร
หมายถึง
       ก. เอาของมีค่าให้แก่คนที่ไม่รู้จักค่าของสิ่งนั้น
สำนวน
ไก่ได้พลอย
หัวล้านได้หวี  ตาบอดได้แว่น
หมายถึง
       น. ผู้ได้สิ่งซึ่งไม่เป็นประโยชน์แก่ตน

๑๐.ของสิ่งใดเจ้าว่างามต้องตามเจ้า                     ใครเลยเล่าจะไม่งามตามเสด็จ
จำไว้ทุกสิ่งจริงหรือเท็จ                                               พริกไทยเม็ดนิดเดียวเคี้ยวยังร้อน
ความหมาย
       ของสิ่งใดก็ตามที่พระเจ้าแผ่นดินว่างาม  เราก็ต้องว่างามไปด้วย  ไม่ว่าจะจริงหรือไม่  เราก็ไม่ควรไปคัดค้านเพราะท่านเป็นผู้มีอำนาจเด็ดขาดแต่เพียงผู้เดียว
สำนวน
       น้ำเชี่ยวอย่าขวางเรือ
หมายถึง
       อย่าขัดขวางผู้ที่มีอำนาจ,  เป็นคำพูดเชิงเตือนสติ
สำนวน
       ชักซุงตามขวาง
หมายถึง
       ก. ทำอะไรไม่ถูกวิธีย่อมได้รับความลำบากขัดขวางผู้มีอำนาจย่อมได้รับความเดือดร้อน 

๑๑.เกิดเป็นคนเชิงดูให้รู้เท่า                                ใจของเราไม่สอนใจใครจะสอน
อยากใช้เขาเราต้องก้มประนมกร                                    ใครเลยห่อนจะว่าตัวเป็นวัวมอ
ความหมาย
       เกิดเป็นคนต้องรู้เท่าทันใจของตนเอง  คือต้องสอนใจตนเองหรือเตือนตนเอง  เพราะไม่มีใครจะสอนใจเราได้  ถ้าต้องการขอความช่วยเหลือจากผู้ใด  เราต้องอ่อนน้อมถ่อมตน  เพราะไม่มีใครที่จะทำตนเป็นวัวเป็นความให้คนอื่นใช้งาน
สำนวน
       สวรรค์ในอก  นรกในใจ
       สวรรค์อยู่ในอก  นรกอยู่ในใจ
หมายถึง
       น. ความสุขที่เกิดจากการทำความดีหรือความทุกข์ที่เกิดจากการทำความชั่ว  ย่อมอยู่ในใจของผู้ทำเอง
     
๑๒.เป็นบ้าจี้นิยมชมว่าเอก                              คนโหยกเหยกรักษายากลำบากหมอ
อันยศศักดิ์มิใช่เหล้าเมาแต่พอ                                   ถ้าเขายอเหมือนอย่างเกาให้เราคัน
ความหมาย
       คนบ้ายอชอบให้คนเขาชมนิยมยกย่องเปรียบเหมือนคนไม่อยู่กับร่องกับรอย  ซึ่งแก้ไขได้ยาก  อันว่ายศถาบรรดาศักดิ์หรือตำแหน่งนั้น  ไม่ใช่เหล้า  จงเมาแต่พอสมควร  คำยกย่องป้อยอต่างๆ นั้น  ถ้าเราหลงเชื่ออาจทำให้เดือดร้อนในภายหลัง  อย่าไปหลงยึดติดในยศหรือตำแหน่ง  เพราะเป็นสิ่งที่ไม่จีรังยั่งยืน
สำนวน
       หวานลิ้นกินตาย
หมายถึง
       ก. หลงเชื่อคำพูดเพราะๆ  หรอคำสรรเสริญเยินยอ  จะได้รับความลำบากในภายหลัง
สำนวน
       ก้นกระดก

หมายถึง
       ว. ลืมตัวเพราะถูกเยินยอ

๑๓.บ้างโลดเล่นเต้นรำทำเป็นเจ้า                       เป็นไรเขาไม่จับผิดคิดดูขัน
ผีมันหลอกช่างผีตามทีมัน                                          คนเหมือนกันหลอกกันเองกลัวเกรงนัก
ความหมาย
       บางคนทำทีว่าถูกผีเข้าสิง  คือพวกทรงเจ้าเข้าผี  ทำไมถึงไม่มีคนจับผิดก็ไม่รู้  ดูๆก็น่าขบขันนัก  ถ้าเป็นผีจริงๆมันหลอกก็ช่างผีเถิด  แต่นี่เป็นคนมาหลอกกันเองซึ่งน่ากลัวที่สุด  ฉะนั้นจึงควรแยกแยะให้ดี  อย่าเชื่อในสิ่งที่ตาเห็นเพราะที่เห็นนั้นอาจไม่ใช่ความจริงทั้งหมด
     
๑๔.สูงอย่าให้สูงกว่าฐานนานไปล้ม                    จะเรียนคมเรียนเถิดอย่าเปิดฝัก
คนสามขามีปัญญาหาไว้ทัก                                        ที่ไหนหลักแหลมคำจงจำเอา
ความหมาย
       จะสร้างสิ่งใดให้สูงก็อย่าให้สูงเกินกว่าที่ฐานจะรับน้ำหนักไว้ได้ เพราะจะทำให้ล้มได้ง่าย  หมายถึงให้รู้จักประมาณตน  อย่าทำอะไรเกินฐานะ  ควรจะเรียนรู้ไว้ให้มากๆ แต่อย่าอวดรู้  คนสามขาหมายถึง  ผู้เฒ่าผู้แก่หรือผู้สูงอายุ  นับว่าเป็นผู้ผ่านโลกมาก่อน  ย่อมมีประสบการณ์มาก ควรที่เราจะต้องไปปรึกษาหารือและสิ่งใดที่ท่านสอนและมีประโยชน์ควรจดจำไว้
สำนวน
       แข่งเรือแข่งพายได้  แข่งบุญแข่งวาสนาแข่งไม่ได้
หมายถึง
       ก. รู้จักประมาณความสามารถของตน  ไม่อาจเอื้อมเกินตัว
สำนวน
       ไม่ดูเงาหัว
หมายถึง
       ก. ไม่รู้จักประมาณตน
สำนวน
       รู้ไว้ใช่ว่า  ใส่บ่าแบกหาม
หมายถึง
       ก. เรียนรู้ไว้ไม่หนักเรี่ยวหนักแรงหรือเสียหายอะไร
สำนวน
       อาบน้ำร้อนมาก่อน
หมายถึง
       ก. เกิดก่อนจึงมีประสบการณ์มากกว่า

๑๕.เดินตามรอยผู้ใหญ่หมาไม่กัด                        ไปพูดขัดเขาทำไมขัดใจเขา
ใครทำตึงแล้วหย่อนผ่อนลงเอา                                     นักเลงเก่าเขาไม่หาญราญนักเลง
ความหมาย
       จงเชื่อฟังคำที่ผู้ใหญ่สั่งสอน  อย่าพูดขัดคอผู้อื่น  เพราะจะทำให้เขาไม่พอใจ  ควรรู้จักผ่อนหนักผ่อนเบา  นักเลงเก่าเขาไม่รังแกหรือทำร้ายพวกนักเลงด้วยกัน  
สำนวน
       เดินตามหลังผู้ใหญ่หมาไม่กัด
หมายถึง
       ก. ประพฤติตามอย่างผู้ใหญ่ย่อมปลอดภัย
สำนวน
       รู้ยาวรู้สั้น
หมายถึง
       ก. รู้จักผ่อนสั้นผ่อนยาว
สำนวน
       ผ่อนผันสั้นยาว
       ผ่อนสั้นผ่อนยาว
หมายถึง
       ก. ประนีประนอมกัน, อะลุ้มอล่วยกัน
สำนวน
       เถรตรง
หมายถึง
       ว. ซื่อตรงจนเกินไป, ไม่มีไหวพริบ, ไม่รู้จักผ่อนสั้นผ่อนยาว, ไม่รู้จักผ่อนหนักผ่อนเบา

      ๑๖.เป็นผู้หญิงแม่ม่ายที่ไร้ผัว                                  ชายมักยั่วทำเลียบเทียบข่มเหง
ไฟไหม้ยังไม่เหมือนคนที่จนเอง                                    ทำอวดเก่งกับขื่อคาว่ากระไร
ความหมาย
       เป็นผู้หญิงหม้าย  ย่อมถูกชายพูดจาแทะโลมเหมือนกับถูกข่มเหง เมื่อเกิดไฟไหม้ทรัพย์สินทุกอย่างจะมอดไหม้ไปในกองเพลิง  แม้แต่บ้านก็ไม่มีเหลือ  น่าสงสารกว่าคนที่ทำให้ตนเองจน เช่น จนเพราะเล่นการพนัน  และไม่ควรแสดงอำนาจโอ้อวดทำสิ่งที่ท้าทายบทลงโทษ

๑๗.อันเสาหินแปดศอกตอกเป็นหลัก                   ไปมาผลักบ่อยเข้าเสายังไหว
จงฟังหูไว้หูคอยดูไป                                                  เชื่อน้ำใจดีกว่าอย่าเชื่อยุ
ความหมาย
       แม้จะมั่นคงดังเสาหินใหญ่สูงแปดศอก  แต่เมื่อถูกผลักบ่อยๆ เข้า เสาหินนั้นก็อาจคลอนแคลนได้  เปรียบเสมือนใจคนย่อมอ่อนไหวไปตามคำพูดของผู้อื่นได้  ฉะนั้นควรฟังหูไว้หู  คิดให้รอบคอบ  ไม่หลงเชื่อคำพูดยุยงโดยง่าย
สำนวน
       ฟังหูไว้หู
หมายถึง
       ก. ไม่ควรเชื่อสิ่งที่ได้ยินมาทั้งหมด ให้คิดพิจารณาให้ดีก่อนว่า สิ่งใดควรเชื่อ ไม่ควรเชื่อ

๑๘.หญิงเรียกแม่ชายเรียกพ่อยอไว้ใช้                       มันชอบใจข้างปลอบไม่ชอบดุ
ที่ห่างปิดที่ชิดไชให้ทะลุ                                                  คนจักษุเหล่หลิ่วไพล่พลิ้วพลิก
ความหมาย
       เมื่อเวลาจะเรียกใคร ใช้ใคร ให้พูดด้วยถ้อยคำไพเราะอ่อนหวาน  ซึ่งใครๆ ก็ชอบ  ไม่ควรใช้วาจารุนแรงหรือดุด่าว่ากล่าว  คำว่า ที่ห่างปิดชิดไชให้ทะลุ  หมายถึงให้เลือกปฏิบัติทางสายกลาง  ให้รู้จักเลี่ยง  อย่าพูดอะไรตรงจนเกินไป  เพื่อเป็นการรักษาน้ำใจ  และจงประพฤติตามที่คนส่วนใหญ่เขาทำกัน
สำนวน
       พูดดีเป็นศรีแก่ปาก
หมายถึง
       น. พูดดีเป็นที่นิยมชมชอบ

๑๙.เอาปลาหมอเป็นครูดูปลาหมอ                      บนบกหนออุตส่าห์เสือกกระเดือกกระดิก
เขาย่อมว่าฆ่าควายเสียดายพริก                                   รักหยอกหยิกยับทั้งตัวอย่ากลัวเล็บ
ความหมาย
       ให้เอาปลาหมอเป็นตัวอย่าง  เมื่อมันถูกปล่อยไว้บนบกก็อุตส่าห์ดิ้นรนกระเสือกกระสนเอาชีวิตรอด  คนเราก็ไม่ควรยอมแพ้กับอุปสรรค ถ้าจะฆ่าควายก็อย่าไปเสียดายพริก  จะรักใครสักคนก็อย่ากลัวถูกเล็บหยิก  หมายถึง  ทำการใหญ่ไม่ควรตระหนี่   
สำนวน
       ปลาหมอแถกเหงือก
หมายถึง
       ก. กระเสือกกระสนดิ้นรน
สำนวน
       ฆ่าความเสียอย่าดายพริก
       ฆ่าความเสียดายเกลือ
หมายถึง
       ก. ทำการใหญ่ไม่ควรตระหนี่
สำนวน
       ทำนาอ้อมกล้า  ทำปลาอ้อมเกลือ
หมายถึง
       ก. ทำการสิ่งใดถ้ากลัวหมดเปลืองย่อมไม่ได้ผลสมบูรณ์

๒๐.มิใช่เนื้อเอาเป็นเนื้อก็เหลือปล้ำ                      แต่หนามตำเข้าสักนิดกรีดยังเจ็บ
อันโลภลาภบาปหนาตัณหาเย็บ                                    เมียรู้เก็บผัวรู้ทำพาจำเริญ
ความหมาp
       ไม่ใช่เนื้อทำเป็นเนื้อก็เกินไป  หนามเล็กๆตำยังรู้สึกเจ็บ  อันความโลภ บาปหนา ตัณหาให้เย็บไว้  อย่าได้ทำ  สามีภรรยาช่วยกันทำงานเก็บเงินครอบครัวจะเจริญ
สำนวน
       ชายหาบหญิงคอน
       ผัวหาบเมียคอน
หมายถึง
       ช่วยกันทำมาหากินทั้งผัวทั้งเมีย
     
๒๑.ถึงรู้จริงนิ่งไว้อย่าไขรู้                                เต็มที่ครู่เดียวเท่านั้นเขาสรรเสริญ
ไม่ควรกล้ำเกินหน้าก็อย่าเกิน                                     อย่าเพลิดเพลินคนชังนักคนรักน้อย
ความหมาย
       ถึงแม้เราจะมีความรู้มาก  รู้เรื่องนั้นๆ จริงก็ให้นิ่งไว้  ไม่เป็นคนอวดรู้ ล้วนมีคนอยากยกย่องสรรเสริญ  และไม่ควรทำอะไรเกินหน้าเกินตาผู้อื่น อย่าหลงเพลินทำสิ่งที่ไม่ถูกต้อง  เพราะคนเกลียดเราจะมีมากกว่าคนที่รักเรา 
สำนวน
       คมในฝัก
หมายถึง
       ว. มีความรู้ความสามารถ  แต่เมื่อยังไม่ถึงเวลาก็ไม่แสดงออกมาให้ปรากฏ
สำนวน
       คนรักเท่าผืนหนัง  คนชังเท่าผืนเสื่อ
หมายถึง
       น. คนรักมีน้อย  คนชังมีมาก

๒๒.วาสนาไม่คู่เคียงเถียงเขายาก                      ถึงมีปากเสียเปล่าเหมือนเต่าหอย
ผีเรือนตัวไม่ดีผีป่าพลอย                                           พูดพล่อยพล่อยไม่ดีปากขี้ริ้ว
ความหมาย
       หากไม่มียศถาบรรดาศักดิ์เท่าเทียมกับผู้อื่น  จะไปเถียงเขาก็ไม่มีใครรับฟัง  มีปากแต่ไร้ประโยชน์เหมือนเต่าหอย  ถ้าคนในบ้านไม่ดีเป็นใจให้คนนอกเข้ามาทำความเสียหาย  คนอื่นๆ ก็พลอยซ้ำเติมเราได้ง่ายขึ้น และไม่ควรพูดจาพล่อยๆ 
สำนวน
       ผีบ้านไม่ดี  ผีป่าก็พลอย
       ผีเรือนไม่ดี  ผีป่าก็พลอย
หมายถึง
       น. คนในบ้านเป็นใจช่วยให้คนนอกบ้านเข้ามาทำความเสียหายได้
สำนวน
       ปลาหมอตายเพราะปาก
หมายถึง
       น. คนที่พูดพล่อยจนได้รับอันตราย
     
๒๓.แต่ไม้ไผ่อันหนึ่งตันอันหนึ่งแขวะ                    สีแหยะแหยะตอกตะบันเป็นควันฉิว
ช้างถีบอย่าว่าเล่นกระเด็นปลิว                                      แรงหรือหิวชั่งใจดูจะสู้ช้าง
     
ความหมาย
       อย่าประมาทการกระทำที่ดูเหมือนจะไม่เป็นพิษเป็นภัย  แม้การเอาไม้ไผ่มาสีกันเบาๆ  ก็อาจทำให้ไฟติดได้  อย่าประมาทสิ่งที่ทรงพลังเช่นช้าง  หากจะต่อสู้หรือต่อกรด้วย  ก็ควรประเมินกำลังของเราว่า  มีกำลังพอ  หรือ  กำลังอ่อนแรง  จะได้เตรียมสู้หรือหนีให้เหมาะแก่สถานการณ์
สำนวน
       เข้าเถื่อนอย่าลืมพร้า
หมายถึง
       ก. ให้มีความรอบคอบอย่าประมาท  เช่นเดียวกับเวลาจะเข้าป่าจะต้องหามีดติดตัวไปด้วย
สำนวน
       กล้านักมักบิ่น
หมายถึง
       ว. กล้าเกินไปมักจะเป็นอันตราย
     
๒๔.ล้องูเห่าเล่นก็ได้ใจกล้ากล้า                         แต่ว่าอย่ายักเยื้องเข้าเบื้องหาง
ต้องว่องไวในทำนองคล่องท่าทาง                               ตบหัวผางเดียวม้วนจึงควรล้อ
ความหมาย
       ผู้ที่ล้อเล่นกับงูเห่าซึ่งเป็นสัตว์อันตราย  จะต้องมีความกล้าอย่างมาก  มีความปราดเปรียวว่องไว  ตัดสินใจได้อย่างเด็ดขาดในทันที ควบคุมสถานการณ์ได้  เป็นการเปรียบเทียบงูเห่ากับผู้มีอำนาจ  ผู้ที่จะต่อกรด้วย  ต้องสามารถคุมสถานการณ์  ไม่ให้ตกอยู่ในสถานะที่จะเพลี่ยงพล้ำได้   

๒๕.ถึงเพื่อนฝูงที่ชอบพอขอกันได้                      ถ้าแม้ให้เสียทุกคนกลัวคนขอ
พ่อแม่เลี้ยงปิดปกเป็นกกกอ                                        จบแล้วหนอเหมือนเปรตเหตุด้วยจน
ความหมาย
       ถ้าเพื่อนฝูงที่ชอบพอกันจะขออะไรกันก็ย่อมได้  แต่ถ้าให้ไปเสียทุกคนก็กลัวว่าจะมีแต่คนขอไปตลอด  พ่อแม่ที่โอบอุ้มทะนุถนอมไว้  กลายเป็นคนจนไม่สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ด้วยตนเอง  เปรียบเสมือนเปรตที่ได้แต่ขอส่วนบุญเขากิน      
    
๒๖.ถึงบุญมีไม่ประกอบชอบไม่ได้                      ต้องอาศัยคิดดีจึงมีผล
บุญหาไม่แล้วอย่าหลงทะนงตน                                  ปุถุชนรักกับชังไม่ยั่งยืน
ความหมาย
       ถึงจะทำบุญแต่ถ้าไม่คิดดีก็ไม่เป็นผล  หากไม่มีบุญแล้วก็อย่าได้ถือว่าตนดี  สำหรับสามัญชนแล้ว  ความรักกับความชังนั้นย่อมเปลี่ยนแปลงได้เสมอ

บทพากย์เอราวัณ



๏ อินทรชิตบิดเบือนกายิน_________เหมือนองค์อมรินทร์
ทรงคชเอราวัณ
๏ ช้างนิมิตฤทธิแรงแข็งขัน________เผือกผ่องผิวพรรณ
สีสังข์สะอาดโอฬาร์
๏ สามสิบสามเศียรโสภา_________เศียรหนึ่งเจ็ดงา
ดั่งเพชรรัตน์รูจี
๏ งาหนึ่งเจ็ดโบกขรณี ___________สระหนึ่งย่อมมี
เจ็ดกออุบลบันดาล
๏ กอหนึ่งเจ็ดดอกดวงมาลย์_______ดอกหนึ่งแบ่งบาน
มีกลีบได้เจ็ดกลีบผกา
๏ กลีบหนึ่งมีเทพธิดา____________เจ็ดองค์โสภา
แน่งน้อยลำเพานงพาล
๏ นางหนึ่งย่อมมีบริวาร__________อีกเจ็ดเยาวมาลย์
ล้วนรูปนิรมิตมายา
๏ จับระบำรำร่ายส่ายหา__________ชำเลืองหางตา
ทำทีดังเทพอัปสร
๏ มีวิมานแก้วงามบวร___________ทุกเกศกุญชร
ดังเวไชยันต์อมรินทร์
๏ เครื่องประดับเก้าแก้วโกมิน______ซองหางกระวิน
สร้อยสายชนักถักทอง
๏ ตาข่ายเพชรรัตน์ร้อยกรอง_______ผ้าทิพย์ปกตระพอง
ห้อยพู่ทุกหูคชสาร
๏ โลทันสารถีขุนมาร_____________เป็นเทพบุตรควาญ
ขับท้ายที่นั่งช้างทรง
๏ บรรดาโยธาจัตุรงค์____________เปลี่ยนแปลงกายคง
เป็นเทพไทเทวัญ
๏ ทัพหน้าอารักขไพรสัณฑ์_________ทัพหลังสุบรรณ
กินนรนาคนาคา
๏ ปีกซ้ายฤาษิตวิทยา____________คนธรรพ์ปีกขวา
ตั้งตามตำรับทัพชัย
๏ ล้วนถืออาวุธเกรียงไกร__________โตมรศรชัย
พระขรรค์คทาถ้วนตน
๏ ลอยฟ้ามาในเวหน_____________รีบเร่งรี้พล
มาถึงสมรภูมิชัย ฯ

๏ เมื่อนั้นจึงพระจักรี_________พอพระสุริย์ศรี
อรุณเรืองเมฆา
๏ ลมหวนอวลกลิ่นมาลา______เฟื่องฟุ้งวนา
นิวาสแถวแนวดง
๏ ผึ้งภู่หมู่คณาเหมหงส์______ร่อนราถาลง
แทรกไซ้ในสร้อยสุมาลี
๏ ดุเหว่าเร้าเร่งพระสุริย์ศรี____ไก่ขันปีกตี
กู่ก้องในท้องดงดาน
๏ ปักษาตื่นตาขันขาน_______หาคู่เคียงประสาน
สำเนียงเสนาะในไพร
๏ เดือนดาวดับเศร้าแสงใส____สร่างแสงอโณทัย
ก็ผ่านพยับรองเรือง
๏ จับฟ้าอากาศแลเหลือง______ธิบดินทร์เธอบรรเทือง
บรรทมฟื้นจากไสยา

๏ เสด็จทรงรถแก้วโกสีย์_______ไพโรจน์รูจี
จะแข่งซึ่งแสงสุริย์ใส
๏ เทียมสินธพอาชาไนย_______เริงร้องถวายชัย
ชันหูระเหิดหฤหรรษ์
๏ มาตลีสารถีเทวัญ__________กรกุมพระขรรค์
ขับรถมากลางจัตุรงค์
๏ เพลารอยพลอยประดับดุมวง___กึกก้องกำกง
กระทบกระทั่งธรณี
๏ มยุรฉัตรชุมสายพรายศรี_____พัดโบกพัชนี
กบี่ระบายโบกลม
๏ อึงอินทเภรีตีระงม__________แตรสังข์เสียงประสม
ประสานเสนาะในไพร
๏ เสียงพลโห่ร้องเอาชัย________เลื่อนลั่นสนั่นใน
พิภพเพียงทำลาย
๏ สัตภัณฑ์บรรพตทั้งหลาย_____อ่อนเอียงเพียงปลาย
ประนอมประนมชมชัย
๏ พสุธาอากาศหวาดไหว_______เนื้อนกตกใจ
ซุกซ่อนประหวั่นขวัญหนี
๏ ลูกครุฑพลัดตกฉิมพลี_______หัสดินอินทรี
คาบช้างก็วางไอยรา
๏ วานรสำแดงเดชา__________หักถอนพฤกษา
ถือต่างอาวุธยุทธยง
๏ ไม้ไหล้ยูงยางกลางดง_______แหลกลู่ล้มลง
ละเอียดด้วยฤทธิโยธี
๏ อากาศบดบังสุริย์ศรี_________เทวัญจันทรี
ทุกชั้นอำนวยอวยชัย
๏ บ้างเปิดแกลแก้วแววไว_______โปรยทิพมาลัย
ซ้องสาธุการบูชา
๏ ชักรถรี่เรื่อยเฉื่อยมา_________พุ่มบุษปมาลา
กงรถไม่จดธรณินทร์
๏ เร่งพลโยธาพานรินทร์________เร่งรัดหัสดิน
วานรให้เร่งรีบมา

๏ เมื่อนั้นพระศรีอนุชา__________เอื้อนอรรถวัจนา
ตรัสถามสุครีพขุนพล
๏ เหตุไฉนสหัสนัยน์เสด็จดล______สมรภูมิไพรสณฑ์
เธอมาด้วยกลอันใด
๏ สุครีพทูลทัดเฉลยไข__________ทุกทีสหัสนัยน์
เสด็จด้วยหมู่เทวา
๏ อวยชัยถวายทิพมาลา_________บัดนี้เธอมา
เห็นวิปริตดูฉงน
๏ ทรงเครื่องศัสตราแย่งยล_______ฤๅจะกลับเป็นกล
ไปเข้าด้วยราพณ์อาธรรมม์
๏ พระผู้เรืองฤทธิแข็งขัน_________คอยดูสำคัญ
อย่าไว้พระทัยไพรี
๏ เมื่อนั้นอินทรชิตยักษี__________ตรัสสั่งเสนี
ให้จับระบำรำถวาย
๏ ให้องค์อนุชานารายณ์_________เคลิบเคลิ้มวรกาย
จะแผลงซึ่งศัสตรศรพล

๏ อินทรชิตสถิตเหนือเอรา_________วัณทอดทัศนา
เห็นองค์พระลักษณ์ฤทธิรงค์
๏ เคลิบเคลิ้มหฤทัยใหลหลง________จึงจับศรทรง
พรหมาสตร์อันเรืองเดชา
๏ ทูนเหนือเศียรเกล้ายักษา_________หมายองค์พระอนุชา
ก็แผลงสำแดงฤทธิรณ
๏ อากาศก้องโกลาหล____________โลกลั่นอึงอล
อำนาจสะท้านธรณี
๏ ศรเต็มไปทั่วราศี______________ต้ององค์อินทรีย์
พระลักษณ์ก็กลิ้งกลางพล

ถอดคำประพันธ์บทพากย์เอราวัณ(เฉพาะตอนอินทรชิตแปลงกายเป็นพระอินทร์)


           อินทรชิตแปลงกายเป็นพระอินทร์ทรงช้างเอราวัณ ช้างเอราวัณอัน (การุณราช) เนรมิตขึ้นนั้นก็ทรงเรี่ยวแรงแกร่งกล้าน่าเกรงขาม ผิวพรรณสีเผือกผ่องประดุจสังข์อันเกลี้ยงเกลา มี ๓๓ หัว หัวหนึ่งมี ๗ งา เปล่งประกายเรืองรองประดุจเพชรรัตน์ งาหนึ่งนั้นมีสระโบกขรณี ๗ สระ สระหนึ่งมีดอกบัว ๗ กอ กอหนึ่งมี ๗ ดอก แต่ละดอกครั้นบานแล้วนับได้ ๗ กลีบ แต่ละกลีบมีเทพธิดาที่สวยงามแน่งน้อยน่ารัก ๗ นาง แต่ละนางนั้นยังมีเทพธิดาบริวารอีก ๗ นาง ล้วนเป็นรูปอันมารนิรมิตขึ้นทั้งสิ้น ทั้งยังร่ายรำชม้ายชายตาทำทีดังนางฟ้าจริงๆอีกทั้งทุกหัวของช้างยังมีวิมานอันงดงาม ประดุจปราสาทเวไชยันต์ของท้าวอมรินทร์ เครื่องประดับอันมี ซองหาง กระวิน สายชนัก ล้วนถักร้อยด้วยสร้อยทอง ประดับโกมินล้อมแก้วนพเก้า ผ้าทิพย์ปกตระพองก็ร้อยประดับด้วยเพชร มีสายสร้อยห้อยเป็นพู่ลงทั่วทุกหูช้างขุนมารโลทันซึ่งเป็นสารถีของอินทรชิตก็แปลงเป็นควาญท้ายช้าง ทัพทั้ง ๔ เหล่า ต่างแปลงกายเป็นชาวฟ้าชาวสวรรค์ มีอารักขเทวดาและรุกขเทวดา(เทพารักษ์) เป็นทัพหน้า ครุฑ กินนร นาค เป็นทัพหลัง พวกฤาษีและวิทยาธร เป็นปีกซ้าย มีคนธรรพ์เป็นปีกขวา ตั้งทัพตามตำรับพิชัยสงคราม ถืออาวุธเกรียงไกรคือ หอก ธนู ดาบ กระบอง ครบมือ แล้วเหาะเหินมาบนฟากฟ้า เคลื่อนพลเข้าสู่สมรภูมิ ฯ